วันอาทิตย์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2557

ดีท็อกซ์มีประโยชน์และผลดีอย่างไร

ทำไมต้องล้างลำไส้ สำคัญไหม ลองอ่านดูนะครับ

ชุดสวยใส พริมโรส การดีท็อก การลดความอ้วน
  

1. ช่วยทำความสะอาดลำไส้ และแบคทีเรียที่เป็นโทษต่อร่างกาย สารพิษต่างๆ จะถูกชะล้างออกไป ลดการสะสมของสารพิษ  เมื่อสารพิษเหล่านี้ถูกกำจัดออกไป ลำไส้จะสามารถทำงานได้ตามปกติ
  2.
เป็นการบริหารกล้ามเนื้อลำไส้  ของเสียที่ตกค้างมีผลทำให้ลำไส้อ่อนแอลง และทำหน้าที่ได้ไม่เต็มที่  การล้างลำไส้จึงเป็นการช่วยส่งเสริมกล้ามเนื้อลำไส้ให้ทำงานได้มากขึ้น กล้ามเนื้อลำไส้ที่แข็งแรงและทำงานได้อย่างเป็นจังหวะ จะช่วยทำให้การผลักดันของของเสีย
เช่น กากอาหาร และอุจจาระออกจากลำไส้ได้เร็วขึ้น ไม่เกิดสารตกค้างจนกลายเป็นพิษ
 3.
ทำให้ลำไส้มีขนาดเป็นปกติ เมื่อลำไส้ทำงานอย่างผิดปกติ จะส่งผลให้โครงสร้างและขนาดลำไส้เปลี่ยนไป ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพต่าง ๆ
ตามมา การล้างลำไส้ ช่วยให้ลำไส้เกิดการเคลื่อนตัว ช่วยลดอาการบวมหรือโป่งพองของลำไส้ อันเนื่องมาจากการที่มีของเสียอุดตันบริเวณนั้น  ทำให้ลำไส้มีรูปร่าง ปกติตามธรรมชาติ การรักษาด้วยวิธีอื่นๆ อาจทำให้ลำไส้กลับคืนสู่รูปทรงปกติได้เพียงระยะสั้นเท่านั้น
 4.
กระตุ้นจุดตอบสนองของระบบอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย ซึ่งอวัยวะทุกส่วนจะมีการทำงานเชื่อมต่อกับลำไส้โดยจุดตอบสนอง   การล้างลำไส้เป็นการช่วยกระตุ้นจุดที่ว่านี้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อร่างกายโดยรวม เช่น ตับ ถุงน้ำดี  ตับอ่อน ไต ต่อมน้ำเหลือง และการหมุนเวียนของเลือด เป็นต้น
อาการผู้มีสารพิษสะสม ที่ควรทำดีท็อกซ์
สารพิษที่ตกค้างสะสมในร่างกาย มักจะเกิดอาการดังต่อไปนี้
  -
ปวดศีรษะบ่อย หงุดหงิด ปวดเมื่อยหลัง ไหล่ และคอ
  -
มีแผลร้อนใน ในปากเป็นประจำ และระบบเผาผลาญทำงานได้น้อย ทำให้ร่างกายอ้วน
  -
อ่อนเพลีย ง่วงนอน สมาธิไม่ดี ความจำเสื่อม
  -
ประสาทตึงเครียด ร่างกายไม่แข็งแรง
  -
หน้าตาหมองคล้ำ ผิวพรรณหยาบกร้าน
  -
ท้องผูกเรื้อรัง ถ่ายยาก หรือถ่ายไม่ออก
  -
เบื่ออาหาร ท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอ และผายลมบ่อย
  -
ปวดท้อง ท้องเสีย ถ่ายเหลวเป็นประจำ
  -
ปวดศีรษะ คลื่นเหียนอาเจียน เวียนศีรษะ และมีไข้ต่ำตลอดเวลา
  -
เหนื่อยง่าย ปากเหม็น ปากเปื่อย มีกลิ่นตัวแรง
  -
เป็นโรคผิวหนังเรื้อรัง มีผื่นคันขึ้นตามตัว เป็นแผล และเป็นฝีบ่อยๆ
  -
มีอาการหอบหืด ภูมิแพ้ เป็นลมพิษได้ง่าย
  -
ปวดเมื่อยตามร่างกาย ปวดตามข้อตามกระดูก ตลอดจนรูมาตอยด์
  -
มะเร็งลำไส้ มะเร็งตับ
  -
เป็นริดสีดวงทวาร ฯลฯ

                          ดูตัวอย่างลำไส้ก่อนและ หลัง ดีท็อก
ดีท็อกซ์ ดีอย่างไร

เนื่องจากของเสียที่อยู่ในลำไส้ใหญ่ มักถูกขับถ่ายออกได้ไม่หมด จึงตกค้างอยู่ในลำไส้ บางครั้งจะเกาะติดอยู่ตามผนังของลำไส้เป็นตะกรัน   สิ่งเหล่านี้จะเป็นผลร้ายต่อร่างกายจนทำให้เกิดอาการต่าง ๆ ของโรค เช่น ท้องผูกเรื้อรัง ถ่ายยาก ถ่ายไม่ออก ท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอ ผายลมบ่อย ๆ
ปวดท้อง ท้องเสีย ถ่ายเหลวเป็นประจำ ปวดศีรษะ คลื่นเหียนอาเจียน เวียนศีรษะ เหนื่อยง่าย ปากเหม็น ปากเปื่อย มีกลิ่นตัวแรง เป็นโรคผิวหนังเรื้อรัง    มีผื่นคันขึ้นตามตัว เป็นแผล เป็นฝีบ่อย ๆ มีอาการหอบหืด ภูมิแพ้ เป็นลมพิษได้ง่าย ปวดเมื่อยตามร่างกาย ปวดตามข้อและกระดูก ตลอดจนรูมาตอยด์
โรคมะเร็งลำไส้ มะเร็งตับ ต่อมน้ำเหลือง ริดสีดวงทวารภายนอกหรือภายใน เป็นต้น ดังนั้นผู้ที่เป็นโรคหรือมีอาการดังกล่าวนี้ จึงควรได้รับการล้างลำไส้    เพื่อขจัดของเสียและสารพิษที่คั่งค้างออกจากร่างกาย ทั้งยังสามารถลดความเสี่ยงของโรคด้วย

การล้างลำไส้ ( Detox) 
จะช่วยทำความสะอาดและขจัดสิ่งสกปรกของเสีย กากอาหาร รวมทั้งสารพิษที่ตกค้างอยู่ในลำไส้ให้หมดไป
สุขภาพที่ดีต้องดูแลที่ต้นเหตุ คือ ดูแลระบบลำไส้ และเพื่อที่จะเอาสารพิษและตะกรันออก มี หลายวิธี เช่น การสวนด้วยน้ำ  การสวนทวารด้วยกาแฟ สวนด้วยน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็น และทานอาหารที่มีเส้นใยสูง ซึ่งในภาวะปกติ เราต้องการอาหารที่มีเส้นใยอาหาร วันละประมาณ 25 กรัม/วัน  
คนเราต้องการเส้นใยอาหาร เพราะ มนุษย์เราเป็นสัตว์กินพืช   ดังที่กล่าวแล้ว โดยดูจากฟัน ซึ่งเหมือนฟันวัว  ม้าและควาย ลักษณะเป็นแถวเรียงเพื่อการบดเคี้ยวให้ละเอียด  และมีลำไส้ที่ยาวกว่าสัตว์ที่กินเนื้อ เช่น เสือ สิงโต สุนัขที่จะมีเขี้ยวเพื่อไว้ฉีก มีลำไส้ที่สั้นและมีน้ำย่อยที่แรงกว่า   และมากกว่าในคนและสัตว์ที่กินพืชเป็นอาหารถึง 20 เท่า
ดังนั้น เมื่อคนเรากินเนื้อมากกว่าพืชผักผลไม้ ซึ่งย่อยยากกว่า ใช้เวลานานกว่าคือ 3 วัน (72 ชม.) ทำให้เกิดการหมักหมม  บูดเน่าและเป็นอาหารอย่างดีสำหรับแบคทีเรียเลว ทำให้เกิดแก๊สพิษ   สารพิษและถูกดูดซึมไปตามกระแสเลือดทั่วร่างกาย   อีกทั้งที่ผนังลำไส้ก็เกิดการอักเสบ กลายเป็นเนื้องอก เนื้อร้ายและมะเร็งลำไส้ในที่สุด
ลำไส้ของคน มีความยาวเท่ากับ 6 เท่าของความสูงร่างกาย
การดูแลสุขภาพให้แข็งแรง  เริ่มง่าย ๆ ที่ลำไส้ โดยเฉพาะลำไส้ใหญ่ ที่เรียกว่าเป็น "ถังขยะของร่างกาย"
สามารถเก็บขยะได้ชั่วคราว 2 วัน แต่บางคนเก็บนานกว่านั้น   ลำไส้คนเรายาวเป็น 6 เท่าของความสูง
ปัญหาคือกินอาหารเข้าไปแล้ว ถ่ายออกมาหมดหรือเปล่า ?  จะเห็นว่าลำไส้ใหญ่ของเรามีความโค้งงอ
ด้วยเหตุนี้หากเรามีนิสัยการกินที่ไม่ถูกต้องเหมาะสม และอาหารที่ย่อยไม่หมด ทำให้เกิดการสะสมเน่าเสียในลำไส้  ถ้าอาหารที่บูดเน่า เก็บอยู่ในลำไส้เป็นเวลานานแบคทีเรียเลว จะได้รับอาหารและปล่อยสารพิษออกมามากมาย ช่น ก๊าซแอมโมเนีย และซัลเฟอร์ออกไซด์ (ก่อสารพิษทำลายตับไต)  ฮีสตามีน  (ก่อสารพิษ เกิดโรคภูมิแพ้)  ก๊าซอินดอล,ฟินนอล, ไนโตรซาไมน์ (ก่อสารพิษ เกิดโรคมะเร็ง) สารพิษเหล่านี้  จะถูกดูดซึมผ่านเส้นเลือดฝอย  ที่ลำไส้เข้าสู่ร่างกาย ทำให้กระบวนการเผาผลาญของตับถูกรบกวน  และนี่คือสารตกค้างทำให้เกิดโรคเรื้อรังต่าง ๆ มากมาย
จากรายงานการศึกษา  เรื่องระบบลำไส้ในประเทศญี่ปุ่นพบว่า ร่างกายคนเราจะมีสารตกค้าง และของเสีย
อยู่ในลำไส้ประมาณ 2.7- 4.5 กิโลกรัม  นี่ยังไม่นับรวมคนที่เป็นโรคท้องผูก ซึ่งมีสารตกค้างมากมาย
และน่ากลัวกว่าคนปกติ     ดังนั้นคนที่เป็นโรคท้องผูก  จะมีความเสี่ยงในการสะสมสารตกค้างและสารพิษในร่างกาย   ซึ่งเป็นอันตรายแล้ว ยังก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ มากมายกว่าคนทั่วไป

อาหารที่รับประทานเข้าไปแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ

  -
อาหารที่มีเส้นใยมาก ได้แก่ ผัก ผลไม้ และธัญพืชต่างๆ
  -
อาหารที่มีเส้นใยน้อยหรือไม่มีเลย เช่น เนื้อสัตว์ ไขมัน แป้งขัดขาว ฯลฯ

การรับประทานอาหารที่ถูกต้องควรรับประทานอาหารที่มีเส้นใยสูง 80% และรับประทานอาหารที่มีเส้นใยอาหารน้อย 20% (ต่อวัน)  แต่ในกิจวัตรประจำวันทำได้น้อยมาก สำหรับอาหารที่มีเส้นใยอาหารน้อย เมื่อย่อยแล้วจะจับตัวกันจนเหนียว ทำให้เคลื่อนผ่านลำไส้ลำบาก   และเกาะติดอยู่ตามผนังลำไส้ ไม่ยอมเคลื่อนตัวเข้าสู่ระบบขับถ่ายตามปกติ ทำให้เกิดอาการท้องผูก ถ่ายลำบากและกากอาหารที่เกาะติดตาม
ผนังลำไส้เหล่านี้เป็นแหล่งเพาะเชื้อแบคทีเรียก่อให้เกิดการบูดเน่า เกิดสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย และเป็นจุดเริ่มต้นของโรคต่าง ๆ
เช่น โรคทางเดินอาหาร ท้องผูก ท้องอืด ท้องเฟ้อ ผายลมบ่อย อาหารไม่ย่อย ท้องเสีย ลำไส้ใหญ่อักเสบ จนถึงการมีกลิ่นปากเหม็น  กลิ่นลมหายใจเหม็น แผลในปาก ลมพิษ หอบหืด และโรคภูมิแพ้ ฯลฯ ด้วยเหตุนี้การล้างลำไส้จึงเป็นแนวทางในการล้างพิษออกจากร่างกาย
ต้นเหตุของโรค(หลายโรค) เกิดจาก... ภาวะท้องอืด ท้องเฟ้อ ในท้องมีลมและแก็สพิษ
สาเหตุที่เกิดลม แก็สในท้อง มาจาก ...
  -
ทานผลไม้ หลังทานข้าวอิ่มใหม่ ๆ ทำให้ผลไม้ถูกหมักเป็นเหล้า เป็นอาหารของเชื้อโรค จึงเกิดลม แก็สพิษเต็มท้อง
  -
การเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด การเร่งรีบทาน ทำให้กระเพาะไม่สามารถย่อยอาหารได้ดี
  -
การทานน้ำมากในช่วงรับประทานอาหาร หรือทานน้ำมากหลังอิ่มข้าวทันที ทำให้อาหารย่อยไม่ดี

การป้องกัน ไม่ให้เกิดภาวะท้องผูก ท้องอืด ท้องเฟ้อ
  -
ควรทานผลไม้ ผัก ก่อนทานข้าว ไขมันและโปรตีน เพื่อน้ำจากผลไม้ ผัก จะถูกดูดซึมไปใช้ประโยชน์ก่อน   (ถ้าทานผลไม้หลังข้าว ไขมัน และโปรตีน ผลไม้และผัก จะไม่ย่อย จะไม่ถูกดูดซึมไปได้ใช้ประโยชน์ ในที่สุดก็จะกลายเป็นอาหารของเชื้อโรคแทน)
 -
ควรเคี้ยวอาหารให้ละเอียด อาหารที่ละเีอียดจะถูกดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้ทันที ส่วนที่เหลือก็จะกลายเป็นของเสีย เป็นอาหารของเชื้อโรค   (การเคี้ยวอาหารละเอียด ร่างกายจะหลั่งน้ำย่อยในปากมาช่วยย่อยอาหาร จึงทำให้อาหารถูกดูดซึมไปใช้งานได้ทันที ไปเลี้ยงเซลล์ ทำให้ร่างกายเกิดพลังชีวิตทันที)
  -
ไม่ควรทานน้ำในช่วงทานอาหาร หรือหลังข้าวอิ่มใหม่ ๆ เพราะจะทำให้ไฟย่อยอาหารไม่ดี
    (
ควรทานน้ำ หลังทานข้าวอิ่มไปแล้ว 1-2 ชม.)


การดีท็อกซ์ คืออะไร
การดีท็อกซ์ คือ การล้างพิษ 

การล้างพิษมีหลายวิธี ได้แก่ การอาบน้ำ การอบ การนวด ร่างกายขับเหงื่อออกทางผิวหนัง ก็เป็นการล้างพิษ ขจัดเอาพิษออก  และการสวนล้างลำไส้ ก็นับว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ที่จะช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงแล้วยังช่วยให้อวัยวะและระบบต่าง ๆ ของร่างกายทำงานได้อย่างสมดุล   อีกทั้งช่วยบำรุงผิวพรรณผ่องใส เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันและรักษาโรคต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี
กระบวนการล้างพิษ
การล้างพิษในร่างกาย ที่จะทำให้มีสุขภาพที่ดี จำเป็นต้องบำรุงรักษาทั้งร่างกายและจิตใจ
จึงควรล้างพิษผ่านวิธีทั้ง 5 ได้แก่

     - กินเพื่อล้างพิษ          กินอาหารล้างพิษ กินอาหารปรับสมดุลรักษาโรค
     - อดเพื่อล้างพิษ          การอดอาหาร เพื่อให้ร่างกายได้พัก เพื่อเป็นการเก็บกวาดของเสีย และสารพิษออกไป
     
- ฝึกลมปราณเพื่อล้างพิษ       ฝึกลมปราณสร้างกำลังภายใน เพื่อขับของเสีย ขับพิษออก
     
- ฝึกสมาธิเพื่อล้างพิษทางจิตใจ     ฝึกสมาธิเพื่อรักษาโรค
     - สวนลำไส้เพื่อล้างพิษ         เพื่อขจัดของเสีย ขับสารพิษออกจากลำไส้ และตับ



 สวนลำไส้...ล้างพิษ
ฟังชื่อแล้วอย่างเพิ่งเสียวลำไส้กันไปนะคะ การสวนล้างลำไส้เกิดขึ้นเพราะพฤติกรรมการกินอาหารของคนปัจจุบัน อาทิ  การกินอาหารขัดสี หรือมีกากใยน้อย ส่งผลให้ลำไส้ทำงานไม่ดีเพิ่มสารพิษให้ร่างกาย และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของอาการเจ็บป่วย  หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมาผลจากการเปลี่ยนอาหารการกินเป็นแบบตะวันตก การใช้ชีวิตและกิจวัตรประจำวันต่าง ๆ
เปลี่ยนไปมาก ผู้คนจึงเจ็บป่วยด้วยโรคบางอย่าง อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นหนึ่งในโรคเหล่านั้น ปัจจุบันมีผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
การขับถ่ายในช่วงเช้า สำคัญอย่างไร

ในช่วงเวลา 05.00 – 07.00 น. เป็นเวลาของลำไส้ใหญ่ ที่จะทำงานได้ดีในการขจัดพิษ ถ้ายังไม่ยอมขับถ่ายอุจจาระนี้    อุจจาระจากลำไส้ใหญ่ที่ขับถ่ายไม่ออก จะถูกบีบตัวขึ้นมาจากลำไส้ใหญ่ ผ่านลำไส้เล็กมาที่กระเพาะอาหาร อุจจาระก็จะถูกดูดซึมอีกครั้งหนึ่ง
ของเสียจะย้อนกลับเข้าไปที่กระแสเลือด ดูดซึมไปยังเซลล์ เนื้อเยื่อ ไปตามอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย
เพราะฉะนั้นแก๊สพิษเหล่านี้จะถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือด เลือดจึงไม่สะอาด ถ้าเลือดไม่สะอาดไหลไปเลี้ยงทุกส่วนของร่างกาย ไหลผ่านสมอง หัวใจ ปอด ม้าม ตับ  ผิวหนัง อวัยวะเหล่านี้ก็จะได้รับแก๊สพิษด้วย  เช่น ก่อนเที่ยงถึงบ่าย ง่วงนอนเพราะเลือดไม่สะอาดไปเลี้ยงหัวใจ หัวใจก็จะอ่อนล้าและไม่สดชื่น มีกลิ่นตัว กลิ่นปาก  ก็มาจากเลือดไม่สะอาดไปเลี้ยงปอด ปอดก็จะขับออกทางผิวหนังและลมหายใจ ตัวเองอาจไม่ค่อยได้กลิ่น แต่คนอื่นจะได้กลิ่น  เพราะฉะนั้นถ้าปล่อยไว้โดยไม่ขับถ่ายช่วงเวลา 05.00-07.00 น. นานๆ เข้าเป็นเวลาหลายๆ ปี ทำให้เลือดที่ไม่สะอาดไหลผ่านไปเลี้ยงสมองและอวัยวะต่างๆ

เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ หรือเลือดไปเลี้ยงสมองได้น้อย จะเริ่มมีอาการดังต่อไปนี้ เช่น
   -
ผมร่วง หน้าแก่เร็ว คออักเสบง่าย
   -
นอนไม่ค่อยหลับ นอนไม่เต็มอิ่ม ฝันบ่อย ปวดไหล่ ตื่นกลางดึกบ่อย ๆ
   -
ปวดหัวข้างเดียว ปวดหู ปวดกระบอกตา เป็นไซนัส
   -
เหงือกบวม เจ็บคอ เจ็บลิ้น ปวดชายโครง ปวดหลัง ปวดเข่า กระดูกสะโพก
     
จะเคลื่อนได้ง่าย ปวดสะโพก ปวดข้อเท้าหลังเท้า วิตกกังวล อาจมีอาการทีละอย่าง หรือหลายอย่างพร้อมกัน

สมองเสื่อม
จากงานวิจัยในประเทศไทย พบว่าวันข้างหน้า อีกประมาณ 4-5 ปี จะมีผู้ป่วยสูงอายุเป็นโรคสมองเสื่อมถึง 9 ล้านคน เมื่อเราทราบอย่างนี้แล้ว
ก็มาหาทางบำรุงสมองกันดีกว่า เพื่อป้องกันไม่ให้สมองเสื่อมก่อนเหตุอันควร ซึ่งเมื่อเป็นแล้วจะเป็นภาระกับคนในครอบครัวอย่างมาก
ที่จะต้องมาคอยดูแลอยู่ตลอดเวลา
สาเหตุหนึ่งที่เลือดไปเลี้ยงสมองได้น้อย เป็นเพราะกินอาหารผัดน้ำมันต่อเนื่องเป็นประจำติดต่อกันหลายๆ ปี  น้ำมันจะเกาะผนังลำไส้ ทำให้ลำไส้ดูดซึมสารอาหารที่เป็นประโยชน์ไปเลี้ยงสมองได้น้อยหรือไม่ได้